6 Underground (2019) – แก๊งล่าเดือดเชือดระเบิด

น่าสนใจเหมือนกันว่า ช่วงนี้เป็นช่วงที่น่าติดตามระบบสตรีมมิ่งอย่างมาก ทั้งก่อนหน้านี้ที่มีหนังเต็งรางวัลอย่าง The Irishman และ Marriage Story ออกมาผ่าน Netflix และกำลังจะมี The Two Popes ออกมาสิ้นเดือนนี้ ซึ่งก็มีผู้กำกับ ฯ หลายคนหันมาร่วมงานกับสตรีมมิ่งมากขึ้น

โดยเฉพาะผู้กำกับมากผลงานหลากระเบิดอย่าง ไมเคิล เบย์ ที่เลิกกำกับหุ่นหันมากำกับคนแล้วในผลงานล่าสุดกับ Netflix ที่ได้งบมาร่วม $150 ล้านเหรียญอย่าง 6 Underground โดยมี ไรอัน เรย์โนลด์ส แสดงนำ พ่วงมาด้วยมือเขียนบทจาก Deadpool, Zombieland และ Life อย่าง พอล เวอร์นิค และ แรตต์ รีส

6 Underground เล่าเรื่องของมหาเศรษฐีคนหนึ่ง ที่ตั้งใจจัดฉากการตายให้ตัวเองและจัดการรวมทีมสมาชิกนิรนามอีก 5 คนเพื่อทำภารกิจกำจัดศัตรูตัวร้ายของประเทศเผด็จกาจที่รัฐบาลโลกไม่อาจช่วยเหลือได้

แน่นอนว่า หนังเล่ามีโครงสร้างเป็น 3 องค์แบบหยาบ ๆ แต่ส่วนตัวอยากขอแบ่งพาร์ทหนังเรื่องนี้เป็นครึ่งแรกและครึ่งหลังดีกว่า โดยที่ช่วงครึ่งแรก หนังจะทำการปูพื้นฐานของกลุ่มศาลเตี้ยใต้ดินผ่านการแนะนำตัวรายคน ขณะที่ทั้งกลุ่มกำลังทำภารกิจและย้อนฉากพื้นฐานคนแต่ละคนซึ่งสอดคล้องกับภารกิจที่พวกเขาทำ ซึ่งดูซับซ้อนใช่ย่อย และเมื่อทันทีที่หนังปูพื้นเสร็จ หนังจะเข้าสู่ครึ่งหลังที่ปูเข้าสู่ภารกิจหลังจนจบ มีแทรกมุกตลกยียวนกวน ๆ สไตล์เดดพูล+ไมเคิล เบย์ กับฉากแอ็คชั่นระเบิดระเบ้อและการตัดต่อสุดหวือหวาฉับไวจนน่าเวียนหัวเลยทีเดียว

ส่วนที่ดีสำหรับหนังเรื่องนี้ คือ ฉากแอ็คชั่นที่จัดเต็มจนแทบเป็น guilty pressure สำหรับเราซึ่งแต่ละฉากก็ทำให้ออกมาได้น่าตื่นตาอ้าปากค้าง ทั้งฉากขับรถไล่ล่า, ฉากต่อสู้ระยะประชิดหรือแม้แต่ยิงกัน รวมถึงไฮไลท์เล็ก ๆ อย่างฉาก parkour ก็ทำได้น่าสนใจ แม้มันจะเต็มไปด้วยลูกเล่นเดิม ๆ ที่ไมเคิล เบย์มักจะใช้ประจำ แต่ด้วยบทที่ออกแบบฉากแอ็คชั่นเหล่านั้นมาแล้ว มันจึงทำให้ดูว้าวมากขึ้น โดยเฉพาะฉากใหญ่ช่วงกลางเรื่องและไคลแมกซ์ที่ทำออกมาได้จัดเต็มมาก ๆ

ส่วนต่อมาคือ บทที่เขียนโดย พอล เวอร์นิค และ แรตต์ รีส ที่ดีไซน์บทให้ดูมีสไตล์มาก ทั้งการออกแบบแต่ละตัวละคร การเล่าเรื่องราวปูมหลังตัวละครขณะหนังกำลังดำเนินไป ซึ่งมันกลายเป็นส่วนผสมที่ลงตัวกับดำเนินเรื่องของหนังให้น่าสนใจมากขึ้น นอกจากนี้ส่วนของมุกตลกที่ทั้งคู่ใส่มานั้นได้ผลมาก แม้ส่วนตัวจะรู้สึกว่า มุกของเวอร์นิค/รีส ดูจะใกล้เคียงกับมุกสไตล์เบย์ในเรื่องก่อน ๆ อย่างมาก แต่ในเรื่องนี้มุกดูเวิร์กและน่ารำคาญน้อยกว่า (ส่วนตัวยกให้มุก THX กับเพลง RUN ที่กวนตีนเอามาก ๆ) นอกจากนี้การหยอดประเด็นการเมืองเข้าไปในหนังก็ดูจะเข้ากับสถานการณ์บางที่จนมีค่าพอให้เราขบคิดไม่หยอกเลยล่ะ

กระนั้นข้อเสียที่ใหญ่มาก คงหนีไม่พ้นตัวผู้กำกับ ฯ อย่าง เฮีย ไมเคิล เบย์ เอง เพราะแน่นอนว่า แกจัดเต็มฉากแอ็คชั่นได้อย่างหนักหน่วงและควบคุมความโกลาหลในฉากเหล่านั้นได้อย่างสุดมันส์ แต่จุดอ่อนของแกก็ยังคงเป็นการเล่าเรื่อง โดยเฉพาะบทจากเรื่องนี้ที่เขียนโดยคู่หู พอล เวอร์นิก และ แรตต์ รีส ที่เขียนมาให้ซับซ้อนย้อนไปย้อนมาอย่างน่าชาญฉลาดแต่กลับดูน่าสับสนเมื่อมาอยู่ในมือของบุรุษอย่าง ไมเคิล เบย์ เสียอย่างนั้น จนทำให้เราจำเป็นต้องย้อนหนังตามไปเพื่อให้ตามเรื่องราวได้ทัน อีกส่วนคือความโหดของฉากแอ็คชั่นเหล่านั้นที่ไปสุดทางมาก ๆ มีตั้งแต่ ขับรถชนคนไปจนถึงยิงคนหัวกระจุยแบบเลือดสาด ซึ่งอาจต้องให้คำแนะนำสำหรับผู้ชมที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะสักหน่อย

สรุปแล้ว 6 Underground คือหนังที่มาพร้อมฉากแอ็คชั่นมันส์ ๆ โหด ๆ รุนแรงจัดเต็มพ่วงด้วยมุกตลกสไตล์เดดพูลสุดยียวนและประเด็นการเมืองที่ใส่มาแบบผิว ๆ ให้พอขบคิด แม้บทที่ออกแบบการเล่าเรื่องให้ดูซับซ้อนชาญฉลาดแต่ก็กลับน่าสับสน (โดยเฉพาะช่วงครึ่งแรก) เมื่อมาอยู่ในมือของไมเคิล เบย์เสียอย่างนั้น

3.5 / 5

สามารถติดตาม Movie Trivia เพิ่มเติมได้ที่
แฟนเพจ Facebook, Blockdit และ Threads

ใส่ความเห็น