Furiosa: A Mad Max Saga (2024) – ใครกันที่ฆ่าโลกนี้

โดยปกติแล้ว สัญชาตญาณมนุษย์พื้นฐานคือการมีชีวิต ทั้งการเอาชีวิตรอดด้วยการเอาตัวรอด หรือการสืบเชื้อสายชีวิตผ่านทางเพศ แต่หากโครงสร้างทางสังคมพื้นฐานล่มสลาย กฎหมายกลับกลายเป็นเพียงลายลักษณ์อักษรที่ไม่มีผู้ใดตระหนักถึงมัน โลกหลังกาลล่มสลายก็กลายเป็นนรกที่ผู้คนล้วนเหลือแต่สัญชาติญาณการเอาตัวรอด

หนึ่งในนั้นคือหนังแอ็คชั่นเล็ก ๆ เรื่องหนึ่งจากออสเตรเลีย สร้างปรากฎการณ์ในการรังสรรค์ฉากแอ็คชั่นที่บ้าระห่ำ และกลายเป็นแม่พิมพ์ให้กับการถ่ายทอดฉากบู๊ทางยานยนต์ ในมหากาพย์เรื่องราวของแม็กซ์ ร็อคคาแทนสกี้ เพียงแต่คราวนี้ผู้กำกับฯ อย่าง จอร์จ มิลเลอร์ ขอย้อนถอยหลัง กลับไปเล่าเรื่องของเทวฑูตแห่งดินแดนกันดาร ปฐมบทของนักรบหญิงหนึ่งเดียวของซิทาเดล อย่าง “Furiosa: A Mad Max Saga

Furiosa: A Mad Max Saga” บอกเล่าเรื่องราว 45 ปี หลัง “กาลล่มสลาย” ฟูริโอซ่า เด็กสาวผู้ถูกพลัดพรากจากดินแดน “เดอะกรีนเพลส” และตกไปอยู่ใต้อำนาจของฝูงแก๊งมอเตอร์ไซค์อันยิ่งใหญ่ นำโดย จอมสงคราม เดเมนทัส ด้วยการกวาดล้างยึดครองดินแดนรกร้าง และตั้งเป็นป้อมปราการซึ่งปกครองโดย เดอะ อิมมอร์ทัน โจ แต่ขณะที่จอมสงครามทั้งสองกำลังปะทะกันเพื่อแย่งอำนาจ ฟูริโอซ่า ก็ตั้งเป้าหมายเพื่อเอาชีวิตรอดและหาทางกลับบ้าน

ด้วยอายุอานามของแฟรนไชส์เกือบครึ่งศตวรรษ ประวัติศาสตร์ที่ถูกขีดเขียนในโลกทรรศน์ของแดนกันดาร กลับไม่ชัดเจนมากเท่ากระทั่งการมาของ “Mad Max: Fury Road” ในปี 2015 ที่วิสัยทัศน์ของจอร์จ มิลเลอร์ ถูกนำมาถ่ายทอดอย่างระห่ำเต็มรูปแบบ และมันก็กลายเป็นการหวนกลับสู่โลกแห่งความบ้าคลั่ง ผ่านฉากไล่ล่าขนาดยาว ที่เต็มไปด้วยงานสร้างยานยนต์และฉากที่เหนือโลก และนั่น ก็เป็นเพียงประตูบานแรกของแดนกันดารแห่งนี้เท่านั้น

แต่กับ “Furiosa: A Mad Max Saga” ซึ่งมาพร้อมรูปแบบการเล่าที่แบ่งแต่ละช่วงออกเป็นบท เป็นนิยามของเหตุการณ์ในแต่ละช่วงชีวิตของฟูริโอซ่า ก็ค่อนข้างจะแตกต่างจาก “Mad Max: Fury Road” อย่างสิ้นเชิง ตรงที่ตัวหนังมีความเป็นเรื่องราวเรื่องเล่า มากกว่าจะเป็นการเอาชีวิตรอดขนาดยาวผ่านรถบรรทุกแบบภาคก่อน แถมจังหวะของหนังก็ค่อนข้างจะนิ่งกว่าพอสมควร ด้วยเรื่องราวของฟูริโอซ่าที่ถูกลักพาเข้าสู่ดินแดนแห่งความคลั่งโดยไม่สมัครใจ ประดังมาด้วยฉากแอ็คชั่นใหญ่ ๆ ตลอดทั้งสามองก์

แม้ว่าส่วนตัวจะรับรู้ได้ว่า “Furiosa: A Mad Max Saga” จะแตกต่างจาก “Mad Max: Fury Road” มากพอสมควร ในความที่เป็นหนังที่ว่าด้วยเรื่องราวของตัวเอกโดยตรง (แตกต่างจาก “Mad Max” ภาคก่อน ที่แม็กซ์ดูจะมีหน้าที่นำพาเราไปสู่เรื่องราวอื่น ๆ ในแดนกันดาร ไม่ได้เป็นศูนย์กลางของเรื่องโดยตรง พอถึงคราว ปฐมบทแม่ทัพนักรบของซิทาเดลอย่างฟูริโอซ่า มันจึงดูจะเป็นรสชาติใหม่ของแฟรนไชส์ที่น่าสนใจเลยทีเดียว

โดยเรื่องราวนั้น ไม่ต่างจากการเล่าจุดกำเนิดหรือเรื่องราวการเติบโตของตัวละครหนึ่งตัว ที่ถูกดึงออกมาจากความบริสุทธิ์ต่อโลก และถูกบีบบังคับให้ต้องมาเอาชีวิตรอด ท่ามกลางภูมิทัศน์ที่แสนโหดร้ายทารุณ ภายในสภาพสังคมที่บิดเบี้ยว และมีจุดมุ่งหมายเดียว คือการหวนคืนสู่ความไร้เดียงสาที่เธอถวิลหา แต่การต้องมาอยู่ในแก๊งมอไซต์ของเดเมนตัส หรือกระทั่งรับใช้ในและไต่เต้าใน ซิทาเดล ของ อิมมอร์ตัน โจ ที่ถึงแม้จะมีโครงสร้างภายในที่เป็นเอกเทศแตกต่างกัน แต่มันก็ล้วนตกอยู่ภายใต้ความเสียสติแทบทั้งสิ้น

ด้วยจังหวะที่ช้าลงมาก ราวกับอยู่คนละเกียร์กับภาคก่อน ทำให้เรามีเวลาได้ดื่มด่ำกับพัฒนาการของ ฟูริโอซ่า ซึ่งมักจะถ่ายทอดอารมณ์รู้สึกผ่านสายตาเป็นหลัก (ทีนี้ต้องชื่นชมทั้ง อไลลา บราวน์ ที่รับบทเป็นฟูริโอซ่าวัยเด็ก และ อันย่า เทย์เลอร์-จอย ด้วย) ทำให้เรารับรู้ถึงความข้นแค้นที่เพิ่มพูนขึ้นทุกขณะ ที่ถูกกดทับด้วยโลกแห่งความเสียสติและสิ้นไร้ไม้ตอก ซึ่งในทุกบทของเรื่อง เราได้เห็นพัฒนาทางมิติของฟูริโอซ่าที่ชัดเจนมากขึ้น ในการเผชิญซึ่งความไร้ซึ่งจารีตมนุษยธรรมในแทบทุกรูปแบบ

แม้ส่วนตัว ฉากแอ็คชั่นอาจจะไม่ได้ทำเลือดสูบฉีดจนใจเต้นแบบ “Mad Max: Fury Road” ก็ตาม อาจเพราะการออกแบบที่ง่ายต้องความเข้าใจ และความยิ่งใหญ่ของคาราวานรถคลั่งที่น่าตื่นตากว่า แต่ “Furiosa: A Mad Max Saga” ก็ยังมาพร้อมฉากแอ็คชั่นน่าประทับใจที่ตื่นเต้นไม่แพ้กัน แถมมันยังเป็นตัวบอกเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครที่ค่อนข้างดี โดยไม่ได้บอกเล่าผ่านบทสนทนา แต่ผ่านการกระทำที่ตัวละครต้องตัดสินใจ สะท้อนผ่านจุดมุ่งหมายเดียวของฟูริโอซ่า ที่ยังมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่ทว่ามันเข้มข้นขึ้นทุกขณะที่ตัวละครได้เติบโต

ประโยคหนึ่งที่ฝังหัวมาก ๆ จาก “Mad Max: Fury Road” ที่ไม่ใช่แค่การบอกเล่าเรื่องราวการเอาชีวิตรอดผ่านฉากไล่ล่า แต่มันยังเล่าถึงการกดทับทางเพศผ่านระบอบของอิมมอร์ตัน โจ ในซิทาเดล นั่นคือประโยคอย่าง “ใครกันที่ฆ่าโลกนี้?” เพราะแม้หนังจะเป็นหนังหลังกาลล่มสลาย ที่มาพร้อมการออกแบบเหนือโลกที่แสนฉูดฉาด แต่มันก็ชวนตั้งคำถามว่า เราควรต้องทำตัวแบบใด หรือเราจะเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน เราจะสูญเสียซึ่งสามัญสำนึกขนาดไหน ถึงจะมีชีวิตรอดภายใต้ความแค้นคลั่งระดับนั้นได้

Furiosa: A Mad Max Saga” กลายเป็นคำตอบที่ชัดเจนในรูปแบบปฐมบทมหากาพย์ที่เราคาดไม่ถึง ฟูริโอซ่าซึ่งถูกพลัดพรากมาแบบผ้าขาว กลับถูกมลทินของดินแดนรกร้างแปดเปื้อนขึ้นทุกขณะ ด้วยการลาจากมาตุภูมิที่แสนบริสุทธิ์ ไปสู่อ้อมอกของความรุนแรงที่น่าสะอิดสะเอียนบิดเบี้ยว ทำให้เธอไม่มีทางเลือก นอกจากต้องโอบรับความฉกาจฉกรรจ์ของแดนรกร้าง และกลายเป็นส่วนหนึ่งในวัฎจักรของความบ้าคลั่ง

Furiosa: A Mad Max Saga” จึงไม่ได้เป็นแค่เพียงภาคต้นที่ยอดเยี่ยม แต่มันยังเป็นเนื้อหาที่สอดรับและเติมเต็ม “Mad Max: Fury Road” ได้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ผ่านการถ่ายทอดเรื่องราวการเติบโตของฟูริโอซ่าที่ยาวนานกว่า 15 ปี ผ่านการด่างพร้อยซึ่งความเสียสติของแดนรกร้าง การสูญสลายซึ่งมนุษยธรรม ผ่านความโหดร้ายของระบบระบอบที่เจ้าของดินแดนล้วนเป็นใหญ่ รวมถึงการโอบอุ้มด้วยความแค้นที่กินระยะเวลายาวนาน จนเกือบจะจมและหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับความบ้าคลั่งของดินแดนดังกล่าว

แต่ ฟูริโอซ่า เองก็ปฏิเสธที่จะเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนนี้ อีกทั้งยังหาญกล้าพอจะชำระซึ่งความคลั่งแค้นที่เธอมีมาอย่างยาวนาน ด้วยการชำแรกเหตุผลที่เปี่ยมด้วยความกรุณา มากกว่าจะสูญสิ้นซึ่งมโนธรรมและชำระแค้นอันรุนแรง แบบที่มหาบุรุษในทุกดินแดนที่เธอรู้จัก ที่รังแต่จะยึดถือซึ่งอำนาจ บังเกิดเป็นความบาดหมางและสงครามตามมา พลางฉายภาพความคลั่งแค้นของฟูริโอซ่าที่แรกเริ่มไม่ไว้ใจใคร ไม่พึ่งพาใคร กลับค่อย ๆ ฉายมิติและภาพความดีงามที่เธอยังคงหลงเหลือออกมาอย่างงดงาม และมันก็เป็นสิ่งที่ล้วนจำเป็นต่อโลกใบนี้เสียเหลือเกิน

เพราะหากไร้ซึ่งความกรุณาและความหวัง โลกอันดีงามแห่งนี้ก็จะถูกคร่าความบริสุทธิ์ไป ไม่ต่างจากชะตากรรมของฟูริโอซ่า นั่นเอง

สรุปแล้ว “Furiosa: A Mad Max Saga” คือปฐมบทภาคต้นที่ว่าด้วยมหากาพย์การเดินทางของหญิงแกร่งแดนรกร้าง ด้วยแนวทางการนำเสนอที่แตกต่างจากภาคก่อนอย่างสิ้นเชิง เนื้อหาจึงดูเป็นเรื่องราวมากกว่าฉากไล่ล่าขนาดยาว พลางขยายโลกแดนกันดารให้กว้างขึ้น ประดังมาด้วยฉากแอ็คชั่นน่าตื่นเต้นที่ยังคงน่าประทับใจ ประกอบกับการแสดงที่โดดเด่น ฉายความพัฒนาของตัวละครที่ต้องเอาชีวิตรอดอยู่ในหมู่มวลความบ้าคลั่ง ที่ต้องยึดมั่นไว้ซึ่งสามัญสำนึก และไม่สูญสลายไปกับความคลั่งแค้นได้อย่างลุ่มลึกเกินคาด

Rating: 4.5 out of 5.

สามารถติดตาม Movie Trivia เพิ่มเติมได้ที่
แฟนเพจ Facebook, Blockdit และ Threads

ใส่ความเห็น